การทำปุ๋ยหมักชีวภาพแบบโบกาฉิประยุกต์: สูตรลับจากญี่ปุ่นโดย อ.ชิราอิชิ
- Suthikiat Katanyoowongcharoen
- Aug 26, 2024
- 1 min read
การทำปุ๋ยหมักชีวภาพแบบโบกาฉิประยุกต์เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในญี่ปุ่น และมีการประยุกต์ใช้ในหลายพื้นที่ทั่วโลก โดยในบทความนี้ เราจะมาพูดถึงวิธีการทำปุ๋ยหมักที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก อ.ชิราอิชิ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรและการปลูกพืชผัก มาดูกันว่ามีขั้นตอนอะไรบ้าง และเหตุใดปุ๋ยหมักสูตรนี้จึงเป็นที่นิยม

ส่วนผสมหลักในการทำปุ๋ยหมักชีวภาพ
การทำปุ๋ยหมักชีวภาพตามสูตรของ อ.ชิราอิชิ มีส่วนผสมที่สำคัญหลายชนิด ซึ่งล้วนแต่เป็นวัสดุที่หาได้ง่ายและมีคุณภาพสูง โดยส่วนผสมหลัก ได้แก่
พืชสด ใบเขียว 2 ส่วน
พืชสดและใบเขียวเป็นแหล่งไนโตรเจนที่สำคัญ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการย่อยสลายของจุลินทรีย์ในกระบวนการหมัก อ.ชิราอิชิแนะนำว่า การเลือกพืชสดควรเลือกจากสิ่งที่คุณปลูกในพื้นที่เอง เพื่อให้ได้ปุ๋ยที่มีคุณสมบัติสอดคล้องกับสภาพดินและพืชที่ต้องการปลูก
H3: มูลสัตว์ 2 ส่วน
มูลสัตว์เป็นแหล่งธาตุอาหารที่สำคัญสำหรับการทำปุ๋ยหมัก ไม่ว่าจะเป็นขี้วัว ขี้หมู หรือขี้ไก่ ล้วนสามารถนำมาใช้ได้ทั้งสิ้น มูลสัตว์จะช่วยเพิ่มความเข้มข้นของธาตุอาหารในปุ๋ยหมัก ทำให้พืชที่ได้รับปุ๋ยสามารถเจริญเติบโตได้ดี
H3: รำอ่อน ¼ ส่วน และแกลบดำ ¼ ส่วน
รำอ่อนและแกลบดำเป็นส่วนผสมที่ช่วยในการดูดซับน้ำและช่วยในการระบายอากาศในกระบวนการหมัก ซึ่งจะทำให้ปุ๋ยหมักมีคุณภาพดีขึ้น และไม่เกิดการหมักที่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์
H3: แคลเซียมฟอสเฟสและจุลินทรีย์
แคลเซียมฟอสเฟสเป็นแหล่งแคลเซียมที่ช่วยเสริมสร้างเซลล์พืช และช่วยในการเคลื่อนย้ายไนโตรเจนในพืช ในขณะที่จุลินทรีย์จะช่วยเร่งกระบวนการหมัก ทำให้ปุ๋ยหมักพร้อมใช้งานได้เร็วขึ้น
วิธีการทำปุ๋ยหมักชีวภาพแบบโบกาฉิประยุกต์
การทำปุ๋ยหมักตามสูตรของ อ.ชิราอิชิไม่ยากเลย เพียงแค่ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
การคลุกเคล้าส่วนผสม
นำพืชสด มูลสัตว์ รำอ่อน และแกลบดำมาคลุกเคล้าให้เข้ากัน โดยการคลุกเคล้าควรทำให้ส่วนผสมทั้งหมดผสมเข้ากันอย่างทั่วถึง เพื่อให้กระบวนการหมักเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
การราดน้ำผสมแคลเซียมฟอสเฟสและจุลินทรีย์
จากนั้นราดน้ำที่ผสมด้วยแคลเซียมฟอสเฟสและน้ำจุลินทรีย์ลงไปในส่วนผสมที่เตรียมไว้ โดยน้ำที่ใช้ควรพอหมาด ๆ วิธีเช็คความชื้นที่เหมาะสมคือกำส่วนผสมให้แน่น หากน้ำไม่ไหลออกและไม่แตกเป็นก้อน แสดงว่ามีความชื้นที่พอเหมาะ
ระยะเวลาการหมักที่เหมาะสม
การหมักปุ๋ยชีวภาพตามสูตรนี้ควรใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 1-2 เดือน ยิ่งหมักนานเท่าไหร่ ปุ๋ยหมักที่ได้จะมีคุณภาพดีขึ้น อ.ชิราอิชิแนะนำว่า การหมักเกิน 2 เดือนจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า เนื่องจากจุลินทรีย์จะสามารถย่อยสลายส่วนผสมทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์
ข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้ใช้งาน: การปรับค่า pH ด้วยแคลเซียมฟอสเฟส
มีความคิดเห็นจากผู้ใช้งานหลายท่านที่ได้แนะนำว่า น้ำจุลินทรีย์ส่วนใหญ่จะมีค่าความเป็นกรดอยู่ที่ pH 4 ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องใช้แคลเซียมฟอสเฟส ซึ่งมีค่าความเป็นด่างประมาณ 7-8 ผสมกับน้ำจุลินทรีย์ เพื่อปรับค่า pH ของปุ๋ยหมักให้อยู่ในช่วง 5.5-6.5 ซึ่งเป็นค่าที่เหมาะสมกับการปลูกพืชผักและไม้ผลทุกชนิด
ประโยชน์ของแคลเซียมในปุ๋ยหมัก
นอกจากการปรับค่า pH แล้ว แคลเซียมยังมีประโยชน์สำคัญอีกหลายประการ เช่น ช่วยในการเคลื่อนย้ายไนโตรเจนสู่ต้นพืช ทำให้เซลล์พืชหนาแน่น และส่งผลให้พืชที่ได้รับปุ๋ยมีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากขึ้น นอกจากนี้ แคลเซียมยังมีบทบาทในการดึงดูดรากพืชไปยังบริเวณที่มีแคลเซียมอยู่ ทำให้พืชสามารถดูดซับธาตุอาหารได้ดีขึ้น
การเลือกใช้แคลเซียมฟอสเฟสและแคลเซียมแมกนีเซียม
สำหรับพืชผักกินใบ แนะนำให้ใช้แคลเซียมฟอสเฟสในการบำรุงการเติบโต ส่วนสำหรับพืชกินผล ควรใช้แคลเซียมแมกนีเซียม ซึ่งจะช่วยให้ผลผลิตมีขนาดใหญ่และมีคุณภาพดีขึ้น
การเพิ่มเปลือกหอยบดในสูตรปุ๋ยหมัก
นอกจากนี้ คุณยังสามารถเพิ่มเปลือกหอยบดเข้าไปในส่วนผสม เพื่อเสริมธาตุแคลเซียมและแมกนีเซียม ซึ่งจะช่วยให้พืชมีการเติบโตที่ดีและให้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูง
สรุป: การทำปุ๋ยหมักชีวภาพแบบโบกาฉิประยุกต์
การทำปุ๋ยหมักชีวภาพตามสูตรของ อ.ชิราอิชิเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการเพิ่มธาตุอาหารให้กับพืชของคุณ ด้วยการใช้ส่วนผสมที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น ร่วมกับการปรับปรุงด้วยแคลเซียมฟอสเฟสและจุลินทรีย์ คุณจะได้ปุ๋ยหมักที่มีคุณภาพสูงและเหมาะสมกับการปลูกพืชผักและไม้ผลทุกชนิด
เคล็ดลับเพิ่มเติมจากญี่ปุ่น
ใส่เกลือทะเลลงไปในส่วนผสมของคุณด้วย ซึ่งเป็นเคล็ดลับจากญี่ปุ่นที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของปุ๋ยหมักให้ดียิ่งขึ้น เคล็ดลับนี้ใครทำแล้วได้ผลอย่างไรมาบอกกันได้นะครับ แอดกำลังจะทดลอง และเดี๋ยวมาแบ่งปันกันครับ
Credit: ข้อมูลจาก ไร่อารีย์ Ari organic farm





Comments